สร้างชีวิตใหม่ ด้วยการเปลี่ยนแปลงตัวตนจากภายใน
การเปลี่ยนแปลงชีวิต การสร้างชีวิตใหม่ เป็น การทำงานจาก ภายใน 80% และอีก 20% คือเรื่องของภายนอก
ใน คลิปวิดีโอของ Bob Proctor คลิปหนึ่ง นะคะ
เขาพูดถึงใน เรื่องของ Self image และก็ paradigm
Self image ก็คือความคิดและความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเอง
ซึ่ง Self image มีความสำคัญกับชีวิตเรามาก คือสิ่งที่กำหนดคุณภาพชีวิตเรา กำหนดรายได้ สุขภาพร่างกาย ความสัมพันธ์
หากคุณต้องการ คุณจะต้องการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในชีวิต คุณจะต้องเปลี่ยน self image หรือความรู้สึกและความคิดที่เรามีตัวเองหรือความรู้สึกและความคิด
Bob ได้ พูดถึง ตัวเราแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนที่หนึ่งคือร่างกาย
อีกส่วนคือจิตใจ ซึ่งทุกคนจะเห็นว่าในส่วนของจิตใจจะมีวงกลมที่ใหญ่มากกว่าร่างกาย
แล้วในวงกลมของจิต ยังมีแบ่งอีกเป็นสองส่วนก็คือ จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก
จิตสำนึกจะ ทำหน้าที่ รับข้อมูลจากภายนอกเข้ามา
มาสู่จิตใต้สำนึก ผ่านสัมผัสทั้งห้า
ในส่วนตรงของจิตใต้สำนึกนี่แหละค่ะ ที่เป็นที่อยู่ของที่ Bob เรียกว่า paradigm
paradam คือ เป็นโปรแกรมจิตที่คอยควบคุม ลักษณะนิสัยและพฤติกรรมของเรา
เราจะขอใช้เป็นคำว่าโปรแกรมจิตแทนนะคะ
เรามาดูในส่วนแรก นั่นก็คือ
🧡จิตสำนึก
จะอยู่ในส่วนของ ความคิด การเรียนรู้ สติปัญญา และการเลือก
ถ้าพูดถึงเรื่องของความคิด มนุษย์ทุกคนมี อำนาจในการเลือก ที่จะคิดอะไรก็ได้ เราจะคิดก็ได้ว่าตัวเรามันทำไมแย่ ไม่ได้เรื่องเลย หรือเรา เลือก ที่จะคิดว่าจริงๆแล้วเราก็เก่งนะ เราเคยทำเรื่องนี้ได้ เรื่องนี้เราคิดว่าเราก็ต้องทำได้แน่นอน
จริงๆความคิดเนี่ย เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากๆในชีวิตของเรานะคะ เพราะว่ามันอยู่ในหัวเรา มันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในเรา ไม่มีใครมาบังคับเราได้ ว่าให้เราคิดแบบนี้สิ แล้วเราสามารถเลือกที่จะคิดอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ จินตนาการไม่มีที่สิ้นสุด
เรา ชอบประโยคหนึ่งมากๆเลย น้องสาวของ Rhonda Byrne เจ้าของหนังสือ The Secret ได้พูดกับเขาว่า
มนุษย์เรามีความคิด เพื่อที่เราจะได้ใช้ความคิดนี้ มาสร้างสรรค์ชีวิตของเรา
ความคิดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมากๆค่ะ ตราบใดที่เรามีสติ แต่ถ้าเรามีสติไม่ มากพอ เราจะปล่อยให้ความคิดเรามันไหลไปเรื่อยเรื่อย ตามความเชื่อ ตามทัศนคติจากสังคม และคนรอบข้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะชอบเป็นเรื่องลบลบ
แต่ ยิ่งเรามีสติมากเท่าไหร่เรา ยิ่งเป็นผู้คุมเกมส์มากเท่านั่น เพราะว่าเราจะรู้ทันว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่
ถ้าเรากำลังคิดลบกับตัวเอง เรากำลังคิดลบกับสถานการณ์นี้ พอรู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดลบ เราก็จะมีพลังอำนาจในการเลือก ที่จะเปลี่ยนมาเป็นคิดอีก ด้านหนึ่งแทน
ด้าน ที่มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน มันจะดีกว่าไหมถ้าเราเลือกที่จะคิดในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกดี มากกว่าที่จะไปคิดในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกแย่กับตัวเอง และทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงไปมากกว่าเดิม
ทีนี้เรามาดูกันในส่วนของ จิตใต้สำนึก กันบ้างนะคะ
💗จิตใต้สำนึก
เค้าจะรับ ทุกข้อมูลที่ถูกใส่เข้ามา จากทางสัมผัสทั้งห้า
ตั้งแต่ เราเป็นเด็ก
ในช่วงเวลานี้ อะไรก็ตามที่เราถูกใส่ข้อมูลเข้าไปมันจะเข้าไปสู่จิตใต้สำนึก
และเราไม่สามารถที่จะปฏิเสธข้อมูลเหล่านี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ทัศนคติต่อโลกใบนี้ ต่อสังคม ความเชื่อเกี่ยวกับ ตัวเอง
สิ่งเหล่านี้มันถูกฝังลึกเข้าไปข้างในจิต และตามติดเรามาจนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ซึ่งความเชื่อส่วนใหญ่ก็มาจาก ครอบครัว คนรอบข้าง
สังคม ที่เราอยู่ ตามสื่อต่างๆ และนี้แหล่ะค่ะที่มัน สร้าง self image หรือ ตัวตนของเราขึ้นมา ทำให้เราคิดและมองตัวเองในแบบนี้
เรามองตัวเองอย่างไร เราคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน เรามีความเชื่อเกี่ยวกับตัวเอง เรามีความรู้สึกต่อตัวเองอย่างไร
ซึ่ง self image, กับโปรแกรมจิต นี้จะอยู่ในส่วนของจิตใต้สำนึก
เราจะพูดและกระทำ ตามความคิดและความเชื่อแบบนั้น มันเป็นเหมือนการที่เรา ตั้งค่าโปรแกรมไว้ในจิตเรา ให้อยู่ในระดับนี้ การกระทำที่ส่งผลออกมาสู่ภายนอก ก็จะอยู่ในระดับนี้เช่นกัน
สิ่งนี้บ๊อบเรียกว่า cybernetic เหมือนกับเวลาที่นักบิน ขับเครื่องบินเค้าจะเซ็ตปลายทางที่จะไปเช่น บินจากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ ก็จะตั้งค่าในระบบไว้ เครื่องบินก็จะบินไปตามเส้นทางนั้น
ถึงแม้ว่าในระหว่างทางอาจจะตกหลุมอากาศ เครื่องบินอาจจะบินออกนอก เส้นทาง ที่ตั้งไว้
แต่สักพักนึงเค้าก็จะกลับไปจุดจุดเดิมที่ได้ตั้งค่าไว้ แล้ว ก็ไปถึงปลายทาง ในที่สุด
สิ่งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับการตั้งค่าโปรแกรมจิตของเราจากภายใน
ถ้าข้างในเรามีค่าอยู่ในระดับไหน ต่อให้ภายนอกเราจะพยายามทำสิ่งที่มันแตกต่างมากเท่าไหร่สุดท้ายมันก็จะกลับมาที่เดิม
นี่คือสาเหตุที่ทำไมเราถึงไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ทั้งทั้งที่เราก็พยายามเป็นอย่างมาก นั้นก็เพราะว่า เรายังไม่ได้เปลี่ยนแปลง โปรแกรมเจ็ด จากภายในเสียก่อน
มีโคชท่านหนึ่งเคยบอกเอาไว้ว่า จักรวาลจะไม่ได้ให้ในสิ่งที่คุณปรารถนา แต่จะให้ในสิ่งที่คุณเป็น
เค้าบอกว่าวิธีที่ได้ผลที่สุดใน การเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเอง คือการที่คิดว่าคุณเป็นคนคนนั้นแล้ว
แม้ว่าการทานอาหารที่ดีดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย ก็อาจจะให้ผลลัพธ์ได้ในระดับหนึ่ง
แต่ จะต้องใช้ความพยายามค่อนข้างมาก และอาจจะกลับไปจุดเดิม
แต่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนที่สุดคือ การที่ คิดและเชื่อว่าคุณเป็นคนคนนั้นแล้ว คุณเชื่อว่าคุณเป็นสาย healthy เป็น คนที่ชอบออกกำลังกายและมีหุ่นฟิต และเป็นคุณชอบทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย พอเรา รู้สึกว่าเราเป็นคนคนนั้นแล้ว มันก็ทำให้การกระทำของเรา ทำไปโดยอัตโนมัติและแบบไม่ต้องฝืนเพราะว่านี่มันคือตัวตนของเรา
แล้วทำอย่างไรเราถึงจะเปลี่ยน โปรแกรมจิต ของเราได้
ที่Bob ได้บอกไว้ก็คือ ถ้าเราจะลบมันออกไปเลยอ่ะมันทำได้ยาก
แต่วิธีที่ได้ผลดีก็คือเราจะไม่ไปทำอะไรกับ โปรแกรมจิตอันเก่า
แต่เราจะใส่อันใหม่เข้าไปแทน
เหมือนน้ำที่ขุ่นมัว ถ้าเราเติมน้ำใใสสะอาดด ใส่เข้าไปเยอะเยอะทุกวันทุกวัน จนวันนึง เราก็แทบจะมองไม่เห็น ฝุ่น ผงที่เคยมีอยู่ แล้ว ถึงแม้ มันอาจจะยังมีอยู่ แต่มันไม่มีผลกระทบอะไรกับชีวิตของเรา
การใส่ข้อมูลอันใหม่เข้าไป ทำได้
การทำ visualization ก็คือการ จินตนาการเห็นภาพ ในสิ่งที่เราต้องการ
นอกจากนี้ยังมี การใช้ self talk ก็คือการพูดถึงในสิ่งที่เราอยากให้มันเกิดขึ้น ทั้งออกเสียงและพูดในใจ
การฟังคลิปเสียงโปรแกรมจิต
รวมถึง การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบตัว
สื่อต่างๆ หนังสือที่เราอ่าน ซีรี่ย์ เพลง ทุกสิ่งที่เรารับเข้าทางสัมผัสทั้งห้า
รวมถึงผู้คนที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยเป็นประจำ
การคิดและพูดถึงในสิ่งที่เราต้องการ ซ้ำซ้ำ เหมือนเป็นการล้างสมองตัวเอง
แต่ครั้งนี้เราเป็นคนกำหนดเอง ว่าเราจะใส่เรื่องราวอะไรเข้าไป เพราะเราคือผู้สร้างสรรค์ชีวิตของเราเอง และ นี่คือพลังอำนาจที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน